จางเหิง ผู้ประดิษฐ์เครื่องวัดธรณีไหวคนแรกของโลก


(ซ้าย) เครื่องวัดแผ่นดินไหวจำลอง (ขวา) ภาพร่างกลไกภายใน
       จากตำราแพทย์ใหญ่ ป๋อ หยางฟู่ (伯阳父) ผู้มีชีวิตอยู่ในปลายรัชสมัยโจวตะวันตก (西周) ก่อนคริสต์ศักราช 780 ปี กล่าวถึงเหตุแห่งการเกิดธรณีไหวนั้นมาจากธาตุหยิน (อิน) และหยางเสียสมดุล โดยระบุไว้ว่า “พลังปราณแห่งฟ้าดิน ไม่อาจสูญเสียกฎระเบียบ, เมื่อหยางไหลลงแต่มิอาจเคลื่อนออก, อินอัดตัวลงไปแต่ไม่อาจระเหยออก ก็จะเกิดแผ่นดินไหว”
       

       แต่ถ้าพูดกันตามหลักธรณีวิทยาแล้ว แผ่นดินไหวนั้นเกิดขึ้นจากรอยเลื่อนระเบิดใต้ดิน, การไหลหมุนเวียนของน้ำใต้ดิน, การเคลื่อนตัวของหินหลอมละลาย, ลม ความดันบรรยากาศ, คลื่นในทะเล น้ำขึ้นหรือน้ำลง ความสั่นสะเทือนจากกิจกรรมของมนุษย์เช่น การระเบิด, การชนของอุกาบาต, การระเบิดของภูเขาไฟ และแผ่นดินถล่ม เป็นต้น
      
       ด้วยความที่จีนเป็นประเทศที่เกิดธรณีไหวบ่อยครั้ง ดังนั้นในช่วงยุคฮั่นตะวันออก (ค.ศ.132) รัชกาลของฮ่องเต้ซุ่นตี้ นักดาราศาสตร์นาม “จางเหิง” (张衡) จึงได้คิดค้นประดิษฐ์เครื่องวัดแผ่นดินไหวเครื่องแรกของโลกที่เรียกว่า “โฮ่วเฟิงตี้ต้งอี๋” (候风地动仪) ซึ่งเกิดก่อนเครื่องวัดแผ่นดินไหวของชาติตะวันตกราว 1,700 ปีทีเดียว
       

ภาพวาด จางเหิง บิดาแห่งเครื่องวัดแผ่นดินไหว
       ตามบันทึกระบุ เครื่องวัดของจางเหิง สร้างขึ้นจากทองแดงมีลักษณะคล้ายไหเหล้าใบใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 2.7 เมตร แต่เนื่องจากเครื่องวัดแผ่นดินไหวเครื่องจริงของจางเหิงได้หายสาบสูญไป รวมทั้งมีการเขียนอธิบายการทำงานของเครื่องวัดเครื่องนี้อย่างคร่าวๆ ทำให้มีการตีความการทำงานภายในเครื่องวัดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแนวคิดและงานวิจัยที่มีอิทธิพลและได้รับการยอมรับมากที่สุดคือแนวคิดที่อธิบายว่า
      
       ด้านในของเครื่องวัดฯ ประกอบไปด้วยกลไกต่างๆ ได้แก่ เสาทองแดงเป็นแกนกลาง สัมพันธ์กับลางทั้ง 8 ซึ่งเชื่อมโยงกับปากมังกรทั้ง 8 ตัวภายนอกไห เบื้องล่างมีคางคก 8 ตัวอ้าปากรอรับไข่มุกเม็ดเล็กทำจากโลหะทองแดง หากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในทิศทางใด เสาทองแดงภายในไหจะเสียสมดุลและไปชนเข้ากับลางด้านใดด้านหนึ่ง ทำให้มังกรอ้าปากคายเม็ดทองแดงตกใส่ปากคางคก และเกิดเสียง ทำให้ผู้คุมเครื่องทราบว่าแผ่นดินไหวนั้นเกิดขึ้น ณ ทิศทางใดและเวลาใด โดยมังกรทั้ง 8 ตัวนั้นก็คือตัวแทนของ 8 ทิศนั่นเอง
       

       ในบันทึกทางประวัติศาสตร์เคยระบุไว้ว่า เครื่องวัดแผ่นดินไหวเครื่องนี้ เคยประสบความสำเร็จในการวัดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่มณฑลกันซู่ เมื่อค.ศ.138 ในครั้งนั้นมังกรประจำทิศตะวันตกเปิดปากคายมุก ทำให้ผู้คุมเชื่อว่าทางทิศตะวันตกของเมืองลั่วหยังคงเกิดแผ่นดินไหว แต่เมื่อสอบถามกลับพบว่าทางทิศตะวันตกของเมืองนั้นไม่มีแผ่นดินไหวแต่อย่างใด ทำให้ชาวบ้านต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ว่าเครื่องวัดของจางเหิงเชื่อถือไม่ได้
      
       กระทั่งหลายวันต่อมา ม้าเร็วส่งจดหมายมารายงานว่า เมืองหล่งซัน (มณฑลกันซู่ในปัจจุบัน) ซึ่งห่างจากเมืองลั่วหยังไปทางตะวันตกอีกกว่า 1,000 ลี้เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็นการพิสูจน์ถึงความแม่นยำและน่าเชื่อถือของเครื่องวัดธรณีไหวภูมิปัญญาจีน แม้ว่าเครื่องวัดนี้จะทำได้แค่บอกทิศทางคร่าวๆ ของแผ่นดินไหวก็ตาม แต่ก็นับว่าวิทยาการครั้งนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่แก่วงการวิทยาศาสตร์โลกด้วย
เครื่องวัดแผ่นดินไหวจำลอง ที่มีการเจาะให้เห็นกลไกภายใน
       ด้วยพัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอันล้ำหน้า ปัจจุบันมนุษย์สามารถวัดแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ด้วยเครื่องวัดความไหวสะเทือนที่เรียกว่า "ไซโมกราฟ" (Seismograph) โดยจะมีการติดตั้งไซโมกราฟไว้ที่ตำแหน่งต่างๆ บนพื้นโลก เพื่อวัดจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ที่บริเวณใด และอยู่ลึกลงไปจากพื้นโลกเท่าไร และยังสามารถนำมาใช้ในการบอกขนาดของแผ่นดินไหวได้อีกด้วย
      
       แต่กระนั้นแผ่นดินไหวก็ยังเป็นมหันตภัยที่ยังไม่สามารถคาดการณ์หรือพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำได้ เมื่อปี 2006 ทางสำนักงานแผ่นดินไหววิทยา ประจำเทศบาลนครหนังหนิง เมืองเอกในเขตปกครองตนเองชนชาติจ้วง กว่างซี (กวางสี) ถึงขั้นจะใช้งูเป็นเครื่องมือในการคาดการณ์แผ่นดินไหว โดยเจ้าหน้าที่ได้ติดตั้งกล้องทั้งในตัวเมืองและฟาร์มงูในเขตอู่หมิง เพื่อเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของงูตลอด 24 ชั่วโมงว่ามีพฤติกรรมผิดปกติหรือไม่ เนื่องจากงูเป็นสัตว์ที่ไวต่อแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินมากที่สุด และสามารถรับรู้การสั่นสะเทือนล่วงหน้า 4-5 วันแม้จะจำศีลอยู่ก็ตาม
      
       แม้ยังหาวิธีพยากรณ์แผ่นดินไหวที่แม่นยำไม่ได้ แต่ก็ยังมีวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเผชิญภัยแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่เลือกเวลาเกิด และสามารถส่งผลกระทบข้ามประเทศได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้แก่ การมีระบบจัดการที่มีประสิทธิภาพ ก่อนการเกิด ขณะเกิด และหลังการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับด้านวิศวกรรมที่ต้องคำนึงถึง เช่น ข้อบังคับการออกแบบและก่อสร้างอาคารต้านแผ่นดินไหวในพื้นที่เสี่ยงภัยโดยการศึกษาแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว รอยเลื่อนต่างๆ การตรวจสอบอาคารสิ่งก่อสร้างเดิมมีความแข็งแรงพอที่จะต้านทานแรงสั่นสะเทือนได้หรือไม่ รวมไปถึงการควบคุมการก่อสร้าง คุณภาพวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
ภาพบ้านเรือนที่พังทลายจากเหตุแผ่นดินไหวที่เป่ยชวน มณฑลเสฉวน (ภาพ 19 พ.ค 2008)
       จากความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินในหลายมณฑลของจีน โดยเฉพาะมณฑลเสฉวน ซึ่งมีอำเภอเวิ่นชวนเป็นศูนย์กลางแผ่นดินไหวขนาด 7.9 ริกเตอร์เมื่อวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับกับมาตรฐานในการก่อสร้างตึก รวมไปถึงการคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นปัญหาคาราคาซังในจีนมานานแล้ว
       

       ปัจจุบันมีข่าวว่าจีนกำลังพัฒนาดาวเทียมที่ใช้ตรวจตราความเปลี่ยนแปลงของแม่เหล็กไฟฟ้าบนพื้นผิวโลก คาดสำเร็จภายในปี 2010 นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่า การเฝ้าสังเกตการรบกวนของแม่เหล็กไฟฟ้าบนผิวโลกและในชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ (ห่างจากผิวโลก 80-100 กิโลเมตร) อย่างใกล้ชิด จะสามารถบอกเหตุแผ่นดินไหวได้ ซึ่งดาวเทียมทดลองจะตรวจจับสัญญาณแจ้งเหตุล่วงหน้าและทำการคาดการณ์อย่างแม่นยำ ทั้งนี้ การเฝ้าสังเกตด้วยดาวเทียมจะครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างกว่าและรวบรวมข้อมูลได้เร็วกว่าการเฝ้าสังเกตภาคพื้นดิน
ที่มา http://mgr.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000058642

ถอดรหัสมงคล “เงื่อนมังกร”


แผงขายของจีนๆ แถวเยาวราช
       สองข้างทางของถนนเยาวราช ที่ทอดยาวดุจลำตัวมังกร เต็มไปด้วยแผงขายวัตถุมงคลต่างๆ จากจีน ทั้งรูปปั้นเทพเจ้า กำไลลายหยก รวมถึงเงื่อนมงคลที่ถักร้อยในรูปแบบต่างๆ......แต่นอกเหนือจากความงามในแง่ของงานศิลปะแล้ว เงื่อนเหล่านี้ยังมีอะไรให้น่าค้นหามากกว่านั้น.....
       เงื่อนมงคล (中国结) ที่ถักร้อยเป็นรูปร่างต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์นั้น อยู่คู่สังคมมังกรมาเนิ่นนาน หล่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวัฒนธรรมประเพณีจีนอย่างแนบแน่น และกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความเป็นจีนได้อย่างชัดเจน
      
       ในช่วงหนึ่งของวัฒนธรรมจีน ได้เคยมีการเคารพบูชาเชือก เนื่องด้วยคำว่า “เสิง” (绳 แปลว่า “เชือก”) อ่านออกเสียงคล้ายคำว่า “เสิน” (神 แปลว่า เทพเจ้า, เทวดา) อีกทั้งตามตำนานกำเนิดมนุษยชาติฉบับจีนยังมีการกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “หนี่ว์วา เทพมารดรแห่งมนุษยชาติ ได้ดึงเชือกขึ้นมาจากดินโคลนแล้วสะบัด เศษโคลนตกลงพื้นกลายเป็นมนุษย์” ไม่เพียงเท่านั้น เนื่องจากเชือกนั้นแลดูคล้ายกับมังกรที่โค้งงอ ดังนั้นช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์จีน ได้มีการนำเชือกมาถักทอให้เป็นรูปสมมติของเทพเจ้ามังกร ซึ่งชาวจีนเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของพวกตน จึงทำให้เชือกกลายเป็นตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความมีสิริมงคล
      
       นอกจากนี้สมัยอดีตกาลเชือกยังมีอีกบทบาทที่สำคัญยิ่ง ในบันทึกของเจิ้งเสวียนสมัยฮั่นตะวันออกได้ระบุไว้ว่ามีการใช้เงื่อนเชือกเป็นตัวแทนของคำมั่นสัญญา หากเป็นคำมั่นสัญญาในเรื่องใหญ่และสำคัญจะขมวดปมให้ใหญ่ หากเป็นเรื่องเล็ก ก็ขมวดเป็นปมเล็ก ดังนั้นเงื่อนจึงกลายเป็นสิ่งที่ชาวจีนเคารพยกย่องนับแต่นั้นมา
       คำว่า “เงื่อน” (结) ในภาษาจีนอ่านว่า “เจี๋ย” มีนัยยะของ พละกำลัง ความปรองดอง ความสมบูรณ์พร้อมนอกจากนี้คำว่า “เจี๋ย” ยังออกเสียงคล้ายกับคำว่า “จี๋” (吉 - สิริมงคล) ซึ่งคำว่า “จี๋” นั้นเป็นคำที่มีความหมายกว้าง ครอบคลุมนัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ความสุข ความมั่งมี อายุมั่นขวัญยืน สันติสุข สุขภาพแข็งแรง ดังนั้น “เสิงเจี๋ย” (绳结 – เชือกเงื่อน) จึงเป็นศิลปะที่มีนัยยะแห่งมงคล ซึ่งหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวัฒนธรรมจีน และสืบทอดมาถึงปัจจุบัน
      
       เงื่อนมงคลนั้นมีหลายแบบ แต่ละแบบมีชื่อเรียกตามลักษณะของเงื่อน และแต่ละอันก็มีนัยยะอันมงคลแฝงอยู่ทั้งสิ้น ดังเช่น “เงื่อนผานฉาง” (盘长结 – เงื่อนขมวดยาว) เรามักเห็นเงื่อนประเภทนี้ในงานมงคลสมรส เนื่องจากหมายถึงให้บ่าวสาวรักใคร่กลมเกลียว ไม่แยกจากกันชั่วนิรันดร หรือจะแขวนหยกไว้กับเงื่อนหรูอี้ (如意 – เงื่อนสมปรารถนา) ให้ผู้ที่พกพาคิดสิ่งใดสมความปรารถนา แขวนเงื่อนฝ่าหลุน (法轮结 - เงื่อนธรรมจักร) ไว้ที่ด้ามกระบี่ หมายถึง การเวียนธรรมจักรในใจ กล่าวคือ การละทิ้งความชั่ว เผยแผ่ความดีงามนั่นเอง
       และในคืนก่อนวันตรุษจีน ตามประเพณีดั้งเดิมผู้มีอาวุโสนิยมใช้เชือกแดงร้อยเหรียญซึ่งมีรูตรงกลางให้เป็นพวง แล้วมอบให้แก่ลูกหลาน เรียกว่า “ยาซุ่ยเฉียน” (压岁钱) หรือก็คือต้นกำเนิดของอั่งเปาในเวลาต่อมา เพื่อให้เด็กๆ อายุยืนยาว ประเพณีสารทขนมจ้าง หรือ ตวนอู่เจี๋ย ชาวจีนก็นิยมใช้ด้ายสีสันต่างๆ ถักเป็นเชือก คล้องคอเด็ก เพื่อขับไล่ปีศาจ เรียกว่า “ด้ายอายุยืน”
      
       นอกจากนี้ ชาวจีนเพื่อแสดงออกถึงความรัก ก็มักใช้สิ่งที่มีความหมายแฝงเพื่อบ่งบอกความในใจ ดังนั้น “เงื่อน” ซึ่งแฝงนัยถึงความรักที่มั่นคงยืนยาว ไม่มีวันเสื่อมคลายจึงได้กลายเป็นของแทนใจระหว่างหนุ่มสาวด้วย
       

      
       เรียบเรียงโดย สุกัญญา แจ่มศุภพันธ์
       ที่มา http://mgr.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000044962

เสื้อผ้าชาวน่าซี: ตำนานเล่าแห่งความกล้าหาญ


ชนเผ่าน่าซี(纳西族) เป็นชนเผ่าที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นชนกลุ่มน้อยที่ ‘พาดดวงจันทร์สวมดวงดาว’ (披月戴星) อันเป็นคำกล่าวที่อ้างอิงมาจากความขยันของชนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้ ที่มีอาชีพหลักคือเกษตรกรรมบนพื้นที่ราบสูง และออกจากบ้านตั้งแต่แสงตะวันยังไม่ทาบขอบฟ้า และจะกลับมายังที่พักก็ต่อเมื่ออาทิตย์ตกดิน
แสตมป์ภาพชุดประจำเผ่าชาวน่าซี
       ชาวน่าซีส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหยุนหนัน และในแถบภาคตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลซื่อชวน(เสฉวน) แต่แหล่งที่สำคัญที่สุดของชนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้ คือเขตปกครองตนเองชาวน่าซี เมืองลี่เจียงและบริเวณรอบทะเลสาบหลู่กู ในหยุนหนัน โดยเฉพาะในเมืองลี่เจียง ซึ่งบัดนี้ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกไปแล้ว
      
       เมื่อครั้งอดีต ชนเผ่านี้ให้ความสำคัญกับสีดำมาก โดยคำว่า น่าซี 纳西 纳 -น่า หมายถึงสีดำ และสีดำเป็นสีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เนื่องจากความสว่างเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนเท่ากับมีขอบเขต แต่ความมืดมิด ไม่สามารถมองเห็นได้ จึงไม่มีขีดจำกัด ดังนั้น คำว่า ดำจึงมีความหมายเท่ากับคำว่ายิ่งใหญ่นั่นเอง และผู้อาวุโสต้องเป็นผู้ได้สวมใส่สีที่มีความหมายสีนี้
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหนก็ขอคงสัญลักษณ์ของเผ่าไว้..
       แต่ความเชื่อดังกล่าวก็เปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ยุคราชวงศ์ชิงเป็นต้นมา เนื่องจากราชสำนักได้มีคำสั่งให้ชาวน่าซีปรับวัฒนธรรมความเชื่อดั้งเดิมให้เข้ากับกระแสหลัก ซึ่งทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่กับชาวเผ่านี้ กระทั่งในช่วงก่อนการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อปี 1949 การแต่งกายของชายน่าซีก็มีความใกล้เคียงมากกับชาวฮั่น ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ ในขณะที่เสื้อผ้าของฝ่ายหญิงบางแห่งยังคงรักษาประเพณีการสวมกระโปรงไว้ได้ แต่บางแห่งก็เปลี่ยนเป็นใส่กางเกงขายาวแล้ว อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมยังคงทิ้งร่องรอยแห่งเอกลักษณ์ของชาวน่าซีไว้ได้
      
       ปัจจุบัน ผู้หญิงน่าซีจะสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ แขนเสื้อพับขึ้นไปจนถึงข้อศอก แล้วทับด้วยชุดแสคที่ไม่มีแขน คลุมไปบนกางเกงขายาวหรือกระโปรง และคาดเข็มขัดผ้า โดยสีที่ใช้ส่วนใหญ่ คือน้ำเงิน ขาวและดำ คลายความเคร่งขรึมด้วยลายปักรูปดอกไม้ แต่สำหรับในบางพื้นที่ก็นิยมสีสันสดใส พร้อมกันนั้น ก็จะมีสายโยงเพื่อไปคล้องผืนหนังแกะอันเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเผ่า
      
       ผืนหนังแกะที่สะพายไว้ทางด้านหลังของสตรีชาวน่าซีนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการแต่งกายของเจ้าหล่อน และมีนัยยะสำคัญทางวัฒนธรรมไว้อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งหนังที่เลือกใช้จะเป็นหนังแกะหรือแพะภูเขาสีขาวหรือดำเท่านั้น ทว่าในแต่ละท้องที่รูปลักษณะของหนังแกะก็จะแตกต่างกันไปบ้าง ดังเช่น ในเขตจงเตี้ยน เวยซี บนผืนหนังแกะจะไม่มีการประดับประดาใดๆ เลย ในขณะที่ผู้หญิงน่าซีในลี่เจียงจะเย็บผ้าสีน้ำเงินไว้ด้านบนของหนัง ซึ่งบนผ้าจะปักวงกลมไว้ 7 ดวง
สาวน้อยน่าซีในชุดสีสันสดใส
       ทั้งนี้ ผืนหนังแกะดังกล่าวจะมีเพียงผู้หญิงเท่านั้นที่สะพายไว้ และหนังแกะผืนนี้เป็นตัวสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของชาวน่าซีในอดีต ที่เคยทำปศุสัตว์อยู่บนภูเขา หนังแกะผืนนี้เป็นตัวให้ความอบอุ่นแก่ชาวน่าซีท่ามกลางลมหนาว ทั้งยังเป็นที่ปูนอนยามเหนื่อยล้า
      
       นอกจากนั้น ในเขตลี่เจียงยังมีตำนานเล่าเกี่ยวกับหนังแกะว่า ในสมัยโบราณ ชาวน่าซีอาศัยอยู่บนดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์มาโดยตลอด แต่มีอยู่ปีหนึ่ง ปรากฏว่ามีปีศาจความแห้งแล้งออกมาอาละวาด มันปล่อยพระอาทิตย์ออกมาแผดเผาชาวน่าซีพร้อมๆกันถึง 8 ดวง สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว แต่แล้วก็มีสตรีผู้กล้าหาญนางหนึ่ง ชื่อว่าอิงกู นางตั้งปณิธานไว้ว่าต้องเชิญเจ้าสมุทรจากทะเลตะวันออกมาช่วย ดังนั้น จึงเร่งมือเย็บเสื้อคลุมที่ทำจากขนนก 50 สีเพื่อกันแดดแล้วรีบออกเดินทางไป ระหว่างเดินทาง นางบังเอิญได้พบกับรัชทายาทองค์ที่ 3 ของเจ้าสมุทรและได้รักกัน
      
       เมื่ออิงกูได้เข้าเฝ้าเจ้าสมุทร เจ้าสมุทรก็ได้อนุญาตให้รัชทายาทเดินทางไปยังถิ่นฐานของชาวน่าซีพร้อมกับอิงกูเพื่อช่วยเหลือชาวเผ่านี้ แต่ปรากฏว่ารัชทายาทกลับเสียทีปีศาจและถูกจับขังอยู่ในบ่อลึกที่มีช้างและสิงโตเฝ้าอยู่ปากทาง เหลือเพียงอิงกูที่ต้องสู้กับปีศาจเพียงลำพัง ซึ่งการต่อสู้ได้ยืดเยื้อไปถึง 9 วัน อิงกูเหนื่อยมาก ในที่สุดก็ล้มลงบนพื้น และพื้นที่นั้นต่อมาก็ได้ชื่อว่า อิงกูตุน (英姑墩) หรือก็คือเมืองลี่เจียงในภาษาน่าซีนั่นเอง
ผลพวงแห่งตำนาน..(ซ้าย)สาวน่าซีกับผืนหนังแกะหรือแพะภูเขา (ขวา) ลวดลายปักวงกลม 7 ดวงบนผืนผ้าที่ขาดไม่ได้เลย
       ด้านรัชทายาทก็ไม่ได้อยู่เฉย เสี่ยงตายฝ่าอันตรายออกมาหาอิงกู แต่น่าเสียดายที่ไม่ทันแล้ว และเมื่อเขาไปถึงบริเวณที่อิงกูล้มลง ก็กลายร่างเป็นบ่อน้ำพุที่ไหลลงสู่เมืองลี่เจียง
      
       เมื่อเห็นเหตุการณ์ลุกลามใหญ่โต ก็ถึงคราที่เทพเจ้าซันตัว(三多神) ซึ่งเป็นเทพเจ้าคุ้มครองชาวน่าซี ต้องออกโรงเอง ด้วยการแปลงร่างเป็นภูเขาหิมะขนาดใหญ่ และกลืนดวงอาทิตย์ลงไปพร้อมกันทั้ง 7 ดวง ซึ่งดวงอาทิตย์ที่เย็นลงแล้วทั้งหมดนี้ เทพเจ้าซันตัวได้แปลงให้เป็นดวงดาว 7 ดวงฝังไว้บนเสื้อคลุมขนนกของอิงกู ในกาลต่อมา เพื่อเป็นการระลึกถึงอิงกู ชาวน่าซีจึงเลียนแบบเสื้อคลุมขนนกด้วยการใช้หนังแกะมาคลุมร่าง อันมีความหมายถึงความกล้าหาญ ส่วนดวงดาวทั้ง 7 นั้น หมายถึงความพากเพียรพยายาม
       

       อย่างไรก็ตาม ก็มีอีกความเห็นที่เห็นว่าหนังแกะผืนนี้ เป็นผลพวงมาจากความศรัทธาต่อกบของชาวน่าซี ที่ให้การนับถือความเฉลียวฉลาดของกบรองมาจากมนุษย์ โดยมีคำอธิบายว่าด้านบนที่เป็นสี่เหลี่ยมและด้านล่างเป็นทรงมนของผืนหนัง คล้ายกับลักษณะของตัวกบ และผ้าทรงกลม 7 ดวงนั้น ชาวน่าซีเรียกกันว่า ปาเมี่ยว(巴妙) ซึ่งแปลว่า ดวงตาของกบ .
       ที่มา http://mgr.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9480000054450

เทศกาลเช็งเม้ง


เทศกาลเช็งเม้งวันที่ลูกหลานจะมาแสดงความเคารพต่อดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ
       ทศกาลเซ่นไหว้และปัดกวาดหลุมศพบรรพบุรุษในวันเช็งเม้งเป็นประเพณีที่มีความเกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมการฌาปนกิจศพ ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์เคยกล่าวไว้ว่า ‘สร้างหลุมศพไม่ต้องสร้างเนินสุสาน’ ดังนั้นจึงไม่เคยมีบันทึกถึงการทำความสะอาดเนินสุสานมาก่อน แต่เมื่อเริ่มมีความนิยมสร้างหลุมศพโดยสร้างเนินสุสานด้วยในภายหลัง ประเพณีการเซ่นไหว้ที่สุสานจึงเริ่มเกิดขึ้น จนมาถึงยุคราชวงศ์ฉินและฮั่นจึงกลายเป็นประเพณีที่ละเว้นไม่ได้
      
       ตำราโบราณ เช่น ตำราฮั่นซู (汉书) ต่างก็เคยบันทึกถึงการเดินทางไปเซ่นไหว้สุสานบรรพบุรุษในวันเช็งเม้ง และเมื่อเป็นที่ยอมรับของฝ่ายราชการเทศกาลเช็งเม้งก็กลายเป็นเทศกาลสำคัญประจำชนชาติที่ถือเป็นวันรำลึกถึงบรรพบุรุษ  โดยมีพิธีกรรมสำคัญได้แก่ การปัดกวาดทำความสะอาดสุสานและเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่สุสาน ซึ่งแสดงถึงความเคารพต่อผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งชาวจีนให้ความสำคัญต่อเกียรติยศของผู้ตายอย่างมาก  นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบรรพบุรุษ และยังเป็นโอกาสในการสร้างสัมพันธภาพในหมู่ญาติ ด้วยความหมายดีๆดังนี้ทำให้เทศกาลเช็งเม้งมีความสำคัญต่อชนชาวจีนอย่างยิ่ง
เทศกาลของชนชาติ
       เทศกาลนี้จะกระทำกันในระหว่างช่วงเดือนที่ 2 (เดือนยี่ตามปฏิทินจันทรคติ) จนถึงปลายฤดูใบไม้ผลิ คือหลังวันตงจื้อ (ราววันที่ 22-23 ธันวาคม) ไป 106 วัน โดยการเดินทางไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่สุสานจะกระทำในช่วง 10 วันก่อนและหลังวันเช็งเม้ง บางถิ่นยาวนานถึงหนึ่งเดือน
      
       นอกจากนี้ ยังเป็นเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เพราะเป็นเทศกาลเดียวที่ตรงกับช่วงเปลี่ยนของอากาศ ( ใน 1 ปีจีนมีช่วงเปลี่ยนของดินฟ้าอากาศ 24 ช่วง ) โดยวันเริ่มต้นหมุนเข้าสู่ช่วงเช็งเม้ง หรือ ชิงหมิง (清明气节) ตกราววันที่ 4 หรือ 5 ของเดือนเมษายน อากาศจะเริ่มอุ่นขึ้น และปลอดโปร่งสดชื่นเย็นสบาย มีฝนตกเพิ่มขึ้น จึงเป็นเวลาที่พืชพันธุ์เจริญงอกงามดี ผู้คนจะออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน รวมถึงทำความสะอาดหลุมศพบรรพบุรุษ
      
       ที่มา
       
เมื่อกล่าวถึงวันเช็งเม็ง หลายท่านที่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์จะรู้จักบุคคลสำคัญท่านหนึ่งนามว่า เจี้ยจื่อทุย (介子推) ผู้มีเรื่องราวชีวิตเกี่ยวเนื่องกับวันสำคัญนี้ ย้อนไปในสมัยชุนชิวราว 2,000 กว่าปีก่อน องค์ชายฉงเอ่อแห่งแคว้นจิ้นหนีภัยออกนอกแคว้น ไปมีชีวิตตกระกำลำบากนอกเมือง โดยมีเจี้ยจื่อทุยติดตามไปดูแลรับใช้
      
       เจี้ยจื่อทุยมีจิตใจเมตตาถึงขนาดเชือดเนื้อที่ขาของตนเป็นอาหารให้องค์ชายเสวยเพื่อประทังชีวิต ภายหลังเมื่อองค์ชายฉงเอ่อเสด็จกลับเข้าแคว้นและได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้น นาม จิ้นเหวินกง ก็ต้องการตอบแทนบุญคุณเจี้ยจื่อทุย โดยจัดหาบ้านให้เขาและมารดาให้เข้ามาอยู่อย่างสุขสบายในเมือง แต่ทว่าเจี้ยจื่อทุยปฏิเสธ
บรรยากาศวันเช็งเม้งในไต้หวัน
       จิ้นเหวินกงได้คิดแผนเผาภูเขา โดยหวังว่าเจี้ยจื่อทุยจะพามารดาออกมาจากบ้าน แต่ผลสุดท้ายกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด สองแม่ลูกเจี้ยต้องเสียชีวิตในกองเพลิง   ดังนั้น เพื่อเป็นการรำลึกถึงเจี้ยจื่อทุย จิ้นเหวินกงจึงมีคำสั่งให้วันนี้ของทุกปี ห้ามไม่ให้มีการก่อไฟ และให้รับประทานแต่อาหารสดๆและเย็นๆ จนกลายเป็นที่มาของเทศกาลวันกินอาหารเย็น หรือ เทศกาลหันสือเจี๋ย (寒食节) ซึ่งเป็นวันสุกดิบก่อนวันเช็งเม้ง 1 วัน
       

       เนื่องจากคนโบราณนิยมถือปฏิบัติกิจกรรมตามประเพณีวันหันสือเจี๋ยต่อเนื่องไปจนถึงวันเช็งเม้ง  นานวันเข้าเทศกาลทั้งสองก็รวมเป็นวันเช็งเม้งวันเดียว  การไหว้เจี้ยจื่อทุยจึงค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นการไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษแทน
      
       ประเพณีปฏิบัติในวันเช็งเม้ง
       
ประเพณีปฏิบัติของวันเช็งเม้งที่สำคัญคือ การเดินทางไปทำความสะอาดและซ่อมแซมสุสานของบรรพบุรุษ และตั้งเครื่องบูชาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของท่าน ซึ่งยังคงถือปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน รายละเอียดของพิธีการก็ถูกลดทอนลงไปจากเดิมตามความเปลี่ยนแปลงของสังคม
เครื่องเซ่นไหว้ในวันเช็งเม้งที่เมืองลั่วหยัง
       ในทุกวันนี้เราจะพบเห็นลูกหลานชาวจีนทั้งหลายไม่ว่าจะในท้องถิ่นใด เดินทางไปที่สุสานอากงอาม่าของพวกเขา เพื่อเก็บหญ้าล้างสุสาน ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของบรรพบุรุษ และไปวางเครื่องเซ่นไหว้ประกอบพิธี รวมทั้งประดับตกแต่งสุสานด้วยดอกไม้ กระดาษสี เช่นที่พบเห็นในเมืองไทย
      
       สำหรับชาวจีนรุ่นใหม่ที่นิยมเผาศพแทนการฝัง ก็จะไปไหว้บรรพบุรุษตามสถานที่ที่บรรจุอัฐิแทน ส่วนชาวจีนโพ้นทะเลที่สิงคโปร์นิยมไปไหว้ป้ายศพของบรรพบุรุษที่วัด ชาวจีนบางถิ่นก็ไหว้ที่บ้าน
      
       แม้ว่ารูปแบบการไหว้ของชาวจีนในถิ่นต่างๆจะแตกต่างกันไป แต่ความหมายที่แท้จริงของวันเช็งเม้งก็คงยังไม่หลีกหนีไปจากการรำลึกถึงปู่ย่าตาทวด ซึ่งความสำคัญนี้จะยิ่งทวีความหมายยิ่งขึ้น  หากว่าลูกหลานคนรุ่นหลังจะได้รับรู้ถึงประวัติชีวิตที่ผ่านมาของบรรพบุรุษของตน  และตระหนักถึงความยากลำบากของพวกท่าน ก่อนที่ตนจะได้รับความสุขสบายในวันนี้ .
     
       ที่มา 
http://mgr.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9480000045336

เล่าเรื่องขี้ๆ กับ “จิ้นจิ่งกง” เจ้ารัฐผู้ตกบ่อขี้ตาย


มิอาจปฏิเสธได้ว่าในชีวิตประจำวันของเราทุกคนต้องเกี่ยวข้องกับห้องน้ำอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ เช้าเข้า กลางวันเข้า เย็นเข้า อย่างในประเทศจีนเอง เขาก็มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับห้องน้ำยาวนานกว่า 3,000 ปีก็ว่าได้ ไม่เพียงแต่ประชาชนต้องพึ่งพาห้องน้ำห้องท่า แม้แต่ฮ่องเต้ หรือเชื้อพระวงศ์ในประวัติศาสตร์จีนเอง ไม่ว่าจะสูงศักดิ์สักแค่นั้น ก็ยังต้องกิน ต้องดื่ม และปลดทุกข์เช่นกัน
     
       ในประวัติศาสตร์ของจีนนั้น มีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับห้องน้ำกับกลุ่มคนในชนชั้นปกครองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งแต่ละเรื่องราวนั้นก็สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการทำธุระและสภาพห้องน้ำในแต่ละยุคสมัยนั่นเอง
     
       ดังเช่นในคัมภีร์ประวัติศาสตร์ “จั่วจ้วน” ของจีนนั้น ได้มีบันทึกกล่าวถึงเรื่องราวของ “จิ้นจิ่งกง” เจ้าผู้ครองรัฐจิ้น ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคชุนชิวช่วงก่อนคริสตศักราช 599-581 ปี
     
       เล่ากันว่า เคยมีหมอดูชื่อดังทำนายว่า จิ้นจิ่งกงจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงเสวยข้าวใหม่ของปีนี้ (ข้าวที่เก็บเกี่ยวได้ในปีนี้) เมื่อจิ้นจิ่งกงทรงทราบก็ให้พิโรธยิ่งนัก
     
       บ่ายวันหนึ่งขณะที่พระองค์กำลังจะเสวยข้าวใหม่ของปีนั้น จู่ๆ ก็ทรงนึกถึงคำทำนายของหมอดูผู้นั้น จึงได้บัญชาให้ทหารไปจับกุมตัวหมอดูผู้นั้นมาให้นั่งดูพระองค์เสวยข้าวใหม่ เพื่อให้เห็นประจักษ์แก่ตาว่าคำทำนายของหมอดูนั้นไร้สาระและไม่เป็นความจริง
     
       แม้ถึงเวลานี้แล้ว หมอดูชื่อดังก็ยังมั่นใจว่าพระองค์จะอยู่ไม่ถึงเสวยข้าวใหม่อย่างแน่นอน ทำให้จิ้นจิ่งกงทรงพิโรธมาก สั่งประหารชีวิตหมอดูผู้นั้น และในขณะที่พระองค์กำลังจะเสวยข้าวใหม่นั่นเอง จู่ๆ ก็ทรงรู้สึกปวดท้องอย่างรุนแรง จึงได้รีบเสด็จไปเข้าห้องน้ำ ด้วยความรีบร้อนไม่ทันระวัง ทำให้พระองค์พลัดตกลงไปในบ่ออุจจาระสิ้นพระชนม์
     
       จิ้นจิ่งกงนั้นถือเป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจยิ่งในประวัติศาสตร์จีน พระองค์เคยนำทัพไปสู้รบยังรัฐต่างๆ กระทั่งมีชัยเหนือรัฐฉู่ และรัฐฉี แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้ารัฐผู้นี้จะมาสิ้นพระชนม์ด้วยสาเหตุอันพิลึกพิลั่นและเหลือเชื่อเช่นนี้ เชื่อกันว่าจิ้นจิ่งกง น่าจะเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นองค์แรกในประวัติศาสตร์จีนที่สิ้นพระชนม์อย่างอเนจอนาถเช่นนี้
เชื่อว่าส้วมที่จิ้นจิ่งกงขึ้นไปน่าจะมีลักษณะคล้ายแบบนี้ แต่หลุมอุจจาระน่าจะค่อนข้างลึก
       อย่างไรก็ตาม บันทึกเรื่องราวของจิ้นจิ่งกงนี้ทำให้อนุชนคนรุ่นหลัง พอจะจินตนาการได้ว่าสภาพห้องน้ำในยุคชุนชิวนั้น นอกจากเป็นห้องน้ำแคบๆ มีไม้กระดานสองอันวางพาดให้เหยียบขึ้นไปทำธุระเหนือปากบ่ออุจจาระแล้ว ยังทำให้พอคาดเดาได้ว่า บ่ออุจจาระนั้นต้องมีขนาดลึกมากถึงขนาดทำให้คนผู้หนึ่งตกลงไปและเสียชีวิตได้
       
       หลังจากเกิดเหตุสลดกับจิ้นจิ่งกงแล้ว ห้องน้ำในพระราชสำนักได้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นมากกว่าเดิม อย่างน้อยยุคต่อๆ มาก็ไม่มีบันทึกว่ามีเจ้าผู้ครองรัฐคนใดตกลงไปสิ้นพระชนม์อีก
     
       กระทั่งมาถึงราชวงศ์ฮั่น ก็ได้มีบันทึกเกี่ยวกับการทำธุระของฮ่องเต้ ฮั่นเกาจู่ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น โดยในบันทึกระบุว่า หากระหว่างการประชุมกับเสนาบดี และข้าราชบริพารต่างๆ ฮั่นเกาจู่ทรงรู้สึกปวดท้องเบาขึ้นมา เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลาการประชุม พระองค์ก็จะทรงมีบัญชาให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นผู้หนึ่งถอดหมวกขุนนางของเขาให้แก่พระองค์ จากนั้นก็จะทรงหันหลัง ทำธุระใส่ในหมวกใบนั้น
โถปัสสาวะสมัยสามก๊ก (ค.ศ.220-280)
       อาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากนิสัยการทำธุระของปฐมกษัตริย์ฮั่นนั่นเอง จึงทำให้ฮ่องเต้รัชกาลต่อๆ มากว่าครึ่งเริ่มหันมาใช้โถปัสสาวะแทนที่จะไปเข้าห้องน้ำ ดังเช่นในบันทึกปกิณกะเมืองซีจิง (เมืองซีจิง หมายถึง เมืองฉางอัน ซึ่งเป็นเมืองหลวงสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก) บันทึกไว้ว่า ในราชสำนักของราชวงศ์ฮั่นนั้นนิยมใช้โถปัสสาวะทำจากหยก ฮ่องเต้จะมีผู้ติดตามคอยถือโถปัสสาวะตามไปทุกหนแห่ง เพื่อให้พระองค์ทรงทำธุระได้โดยสะดวกสบาย
       

       แม้แต่ ฮั่นอู่ตี้ ฮ่องเต้ผู้ยิ่งยงแห่งราชวงศ์ฮั่น ก็มีเรื่องเล่าว่า พระองค์เคยทรงอนุญาตให้แม่ทัพใหญ่ เว่ยชิง เข้าเฝ้าในขณะที่พระองค์ทรงปลดทุกข์หนักอยู่ ตามที่บันทึกไว้ในตำราจี๋อั้นแห่งราชวงศ์ฮั่น แต่ในบันทึกมิได้ระบุไว้ว่า เว่ยชิงนั้นมีความรู้สึกอย่างไร แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่า ในสายตาของฮั่นอู่ตี้แล้วจะต้องให้ความสำคัญแก่แม่ทัพเว่ยผู้นี้เป็นอย่างมาก ถึงขนาดให้เขาเข้าเฝ้าขณะที่ทรงทำธุระเลยทีเดียว
     
       ห้องน้ำองค์หญิงฤาหอมหวนชวนดม
     
       ว่ากันถึงเรื่องกลิ่นแล้ว ห้องน้ำที่ไหนๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีกลิ่นไม่น่าพิสมัยทั้งนั้น เพราะเป็นที่ไว้ซึ่งสิ่งปฏิกูลต่างๆ แล้วห้องน้ำในพระราชสำนัก ของฮ่องเต้ ฮองเฮา และองค์หญิงเล่า จะมีกลิ่นเช่นเดียวกันหรือไม่
     
       ในบันทึก “เรื่องเล่าชาวบ้าน” ระบุไว้ว่า ในราชวงศ์จิ้นตะวันตก (ค.ศ.265-316) ฮ่องเต้ จิ้นอู่ตี้ ได้ทรงคัดเลือกแม่ทัพใหญ่ หวังตุน ให้เป็นราชบุตรเขย อภิเษกสมรสกับองค์หญิงอู่หยัง
       

       คืนวันอภิเษกสมรสนั่นเองเป็นครั้งแรกที่หวังตุนได้ใช้ห้องน้ำขององค์หญิง ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นห้องน้ำของราชนิกูลนั้นเขารู้สึกได้ว่า ห้องน้ำขององค์หญิงช่างงดงามโอ่โถง และหรูหรากว่าห้องน้ำของสามัญชนยิ่งนัก แต่เมื่อหวังตุนเดินเข้าไปสัมผัสอย่างใกล้ชิดกลับพบว่า ที่แท้จริงแล้ว ห้องน้ำในพระราชวังก็มีกลิ่นเหม็นเช่นกัน
หน้าตาพุทราจีนแห้ง
       หวังตุนเหลือบไปเห็นมุมหนึ่งของห้องน้ำ มีกล่องบรรจุพุทราแห้งวางไว้ เขาคิดในใจว่านี่คงเป็นขนมทานเล่นระหว่างทำธุระ จึงทานเสียเกลี้ยง หลังทำธุระเสร็จนางกำนันตรงรี่เข้ามาพร้อมชามใส่น้ำใบใหญ่ และชามกระเบื้องเคลือบบรรจุเม็ดถั่ว “เจ้าโต้ว” (澡豆)
       

       หวังตุนเห็นเช่นนั้น ก็หยิบเม็ดถั่วแช่ลงน้ำ และดื่มน้ำในชามจนเกลี้ยง กลายเป็นที่ขบขันของบรรดานางกำนัลยิ่งนัก
     
       อันที่จริงแล้ว พุทราแห้งนั้น เตรียมไว้ใช้ใส่เข้าไปในจมูกเพื่อป้องกันกลิ่นเหม็นของห้องน้ำ ส่วนถั่ว “เจ้าโต้ว” หรือ “ถั่วถูไคล” นั้น ใช้ต่างสบู่นั่นเอง
     
       ส่วนปัญหาว่าสมัยก่อนชาวจีนใช้อะไรเช็ดก้นหลังจากทำธุระเสร็จนั้น สามารถเข้าไปหาคำตอบได้ในเรื่อง "สมัยโบราณคนจีนใช้อะไรเช็ดก้น?"
     
      


     
       เรียบเรียงโดย สุกัญญา แจ่มศุภพันธ์
       ที่มา http://mgr.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000077432