เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์/ไชน่า เดลี่ - ถ้าพูดถึงเรื่องอาหารการกินแล้ว สุภาพชนในดินแดนอาทิตย์อัสดงค์มักให้เกียรติและพิถีพิถันกับมารยาทบนโต๊ะอาหารเป็นพิเศษ ขณะที่วัฒนธรรมคนจีน ซึ่งมักรับประทานแบบง่าย ๆ เพียงมีถ้วยชามและตะเกียบ และเป็นเช่นนี้มาช้านานแล้ว หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีก็ค้นพบว่า วัฒนธรรมการกินของชาวจีน ไม่ผิดแผกไปจากยุคแรกเท่าใดนัก ดังนั้นสำหรับคนที่สนใจศึกษาวัฒนธรรมจีน อาจเริ่มย้อนรอยวัฒนธรรมผ่านถ้วยชาม กับตะเกียบ เพื่อให้เห็นวิถีประจำวันและแนวคิดแบบ “จีน” ได้เป็นอย่างดี “ถ้วยชาม” สะท้อนอารยธรรมเก่าแก่หลายพันปี ประเทศจีนเป็นประเทศเกษตรกรรมมาแต่บรรพกาล ตั้งแต่ก่อนยุคนีโอลีธิค (ยุคสุดท้ายของยุคหิน) คนจีนก็รู้จักใช้ถ้วยชามใส่อาหารแล้ว | ||||
สำหรับถ้วยชามโบราณ ส่วนบนจะกว้างและค่อย ๆ แคบลงจนถึงก้นชาม ซึ่งยากที่จะตั้งอยู่ได้บนพื้นเรียบ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า ชามสมัยโบราณจะวางในหลุมที่ขุดขึ้นบนพื้นดิน โดยชามรุ่นแรกสุดเป็นดินเผา ใช้ความร้อนเพียง 600-700 องศาเซลเซียส จากข้อค้นพบของนักโบราณคดีและบันทึกทางประวัติศาสตร์ชี้ว่า ถ้วยชามเครื่องเคลือบปรากฎขึ้นมาภายหลังตรงกับราชวงซัง (770-476 ก่อนค.ศ.) และยุครัฐศึก (475-221 ก่อนค.ศ.) ซึ่งถือเป็นยุคกำเนิดเครื่องเคลือบเซลาดอน ที่เป็นเครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อแกร่ง เคลือบด้วยน้ำเคลือบที่ทำจากเถ้าถ่านจากไม้และหินฟันม้าซึ่งมีส่วนผสมของแร่เหล็ก นำมาเผาในอุณหภูมิสูงถึง 1,250 องศาเซลเซียส กระทั่งราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนค.ศ. - ค.ศ.220) ถ้วยชามเริ่มมีประโยชน์หลากหลาย นอกจากใส่ข้าวใส่น้ำแกง ก็ออกแบบเป็นจาน ถ้วยชา หรือถ้วยเหล้า นอกจากนั้นยังมีหน้าที่เป็นอุปกรณ์สำคัญในพิธีบวงสรวง จากสังคมดั้งเดิมจนเข้าสู่ราชวงศ์จิ๋น (221-207 ปีก่อนค.ศ.) ประชาชนทั่วไปใช้ติ่งดินเผา (เครื่องปั้นดินเผารูปกระถาง 3 ขา) ไว้ประกอบอาหาร และติ่งสำริดไว้ประกอบพิธีบวงสรวง เมื่อราชวงศ์ฮั่น ภาชนะเหล่านี้ก็มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้สามารถใส่เลือดหรือร่างของสัตว์ที่ใช้เซ่นสังเวยได้ จนปัจจุบันขุดค้นพบเครื่องเคลือบสีน้ำเงิน-ขาวที่ใหญ่สุด ซึ่งก็ใช้ในพิธีพลีกรรมนี่เอง | ||||
ก่อนหน้านั้น ในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) ชามทั้งหมดประยุกต์แบบมาจากลายดอกไม้ ซึ่งมีวิวัฒนาการมาจากเตาเผาเมืองฉังซาของสมัยราชวงศ์ถัง วิวัฒนาการขึ้นเรื่อย ๆ จนสมัยราชวงศ์หมิง ชามส่วนใหญ่จะใช้ในงานเลี้ยง โดยตัวชามมีพื้นสีขาว และวาดสีน้ำเงินตัดเข้ม อย่างไรก็ตาม ถ้วยชามสมัยราชวงศ์ชิงพัฒนาก้าวหน้ากว่าในทุกด้าน ทั้งทักษะ ฝืไม้ลายมือ รูปทรงแตกต่างใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย การเคลือบและรูปแบบสวยงามกว่า ทำให้ผู้คนประทับใจอย่างมากเมื่อได้ยลเครื่องเคลือบ 3 สี 5 สี และถ้วยชามเคลือบสุดวิเศษขององค์จักรพรรดิ | ||||
ขณะเดียวกันวัฒนธรรมการดื่มเหล้าจะขาดถ้วยชามไม่ได้ ปัจจุบันการดื่มเหล้าจากถ้วยชามยังคงเหลืออยู่ในแถบมองโกเลียใน ทิเบต และชนบทภูมิภาคต่าง ๆ ของจีน | ||||
ตะเกียบ เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่มีบทบาทหลักในวัฒธรรมอาหารของชาวจีนเชื่อกันว่ามีมาแต่ยุคโบราณ แสดงให้เห็นถึงอาธารยธรรมจีนที่มีมายาวนาน ตะเกียบเป็นอุปกรณ์การกินดั้งเดิมของชาวจีน และมีใช้กว้างขวางในญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวันและเวียดนาม | ||||
| ||||
การใช้ตะเกียบสามารถเติมเต็มทุกอากัปของการกิน หากเทียบกับโต๊ะอาหารตะวันตกที่ใช้ มีดแล้ว วัฒนธรรมจีนดูจะมีกลิ่นอายของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวไม่แตกแยกมากกว่า ตะเกียบจีนยาวตรงประมาณ 9-10 นิ้ว ส่วนใหญ่ทำจากไม้ไผ่ เพราะราคาไม่สูง ใช้ได้อย่างรวดเร็วเพียงเหลาไม้ไผ่ ทั้งยังใช้ง่าย ทนร้อน และไม่มีกลิ่นหรือรสชาติเจือปนอาหาร คำภาษาจีนเรียกตะเกียบว่า ไคว่จื่อ (筷子) ซึ่งคำว่า ไคว่ พ้องกับความหมายของ ไคว่ (快) ที่แปลว่าเร็ว สำหรับคำจีนโบราณเรียกตะเกียบว่า จู้ (箸) ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า จู้ (住) ซึ่งหมายถึงหยุด ซึ่งเป็นคำไม่ดี คนโบราณจึงห้ามนำตะเกียบลงเรือ เพราะเกรงเรือจะหยุดแล่น ต่อมาจึงใช้คำว่า ไคว่ แทน จู้ ที่แปลว่าหยุด ทำให้ตะเกียบของจีนเรียก “ไคว่จื่อ” มาจนทุกวันนี้ | ||||
ที่มา |
สืบรากวัฒนธรรมจีนโบราณ ผ่าน “ถ้วยชาม” และ “ตะเกียบ”
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น