เทศกาลเช็งเม้ง


เทศกาลเช็งเม้งวันที่ลูกหลานจะมาแสดงความเคารพต่อดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ
       ทศกาลเซ่นไหว้และปัดกวาดหลุมศพบรรพบุรุษในวันเช็งเม้งเป็นประเพณีที่มีความเกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมการฌาปนกิจศพ ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์เคยกล่าวไว้ว่า ‘สร้างหลุมศพไม่ต้องสร้างเนินสุสาน’ ดังนั้นจึงไม่เคยมีบันทึกถึงการทำความสะอาดเนินสุสานมาก่อน แต่เมื่อเริ่มมีความนิยมสร้างหลุมศพโดยสร้างเนินสุสานด้วยในภายหลัง ประเพณีการเซ่นไหว้ที่สุสานจึงเริ่มเกิดขึ้น จนมาถึงยุคราชวงศ์ฉินและฮั่นจึงกลายเป็นประเพณีที่ละเว้นไม่ได้
      
       ตำราโบราณ เช่น ตำราฮั่นซู (汉书) ต่างก็เคยบันทึกถึงการเดินทางไปเซ่นไหว้สุสานบรรพบุรุษในวันเช็งเม้ง และเมื่อเป็นที่ยอมรับของฝ่ายราชการเทศกาลเช็งเม้งก็กลายเป็นเทศกาลสำคัญประจำชนชาติที่ถือเป็นวันรำลึกถึงบรรพบุรุษ  โดยมีพิธีกรรมสำคัญได้แก่ การปัดกวาดทำความสะอาดสุสานและเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่สุสาน ซึ่งแสดงถึงความเคารพต่อผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งชาวจีนให้ความสำคัญต่อเกียรติยศของผู้ตายอย่างมาก  นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบรรพบุรุษ และยังเป็นโอกาสในการสร้างสัมพันธภาพในหมู่ญาติ ด้วยความหมายดีๆดังนี้ทำให้เทศกาลเช็งเม้งมีความสำคัญต่อชนชาวจีนอย่างยิ่ง
เทศกาลของชนชาติ
       เทศกาลนี้จะกระทำกันในระหว่างช่วงเดือนที่ 2 (เดือนยี่ตามปฏิทินจันทรคติ) จนถึงปลายฤดูใบไม้ผลิ คือหลังวันตงจื้อ (ราววันที่ 22-23 ธันวาคม) ไป 106 วัน โดยการเดินทางไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่สุสานจะกระทำในช่วง 10 วันก่อนและหลังวันเช็งเม้ง บางถิ่นยาวนานถึงหนึ่งเดือน
      
       นอกจากนี้ ยังเป็นเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เพราะเป็นเทศกาลเดียวที่ตรงกับช่วงเปลี่ยนของอากาศ ( ใน 1 ปีจีนมีช่วงเปลี่ยนของดินฟ้าอากาศ 24 ช่วง ) โดยวันเริ่มต้นหมุนเข้าสู่ช่วงเช็งเม้ง หรือ ชิงหมิง (清明气节) ตกราววันที่ 4 หรือ 5 ของเดือนเมษายน อากาศจะเริ่มอุ่นขึ้น และปลอดโปร่งสดชื่นเย็นสบาย มีฝนตกเพิ่มขึ้น จึงเป็นเวลาที่พืชพันธุ์เจริญงอกงามดี ผู้คนจะออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน รวมถึงทำความสะอาดหลุมศพบรรพบุรุษ
      
       ที่มา
       
เมื่อกล่าวถึงวันเช็งเม็ง หลายท่านที่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์จะรู้จักบุคคลสำคัญท่านหนึ่งนามว่า เจี้ยจื่อทุย (介子推) ผู้มีเรื่องราวชีวิตเกี่ยวเนื่องกับวันสำคัญนี้ ย้อนไปในสมัยชุนชิวราว 2,000 กว่าปีก่อน องค์ชายฉงเอ่อแห่งแคว้นจิ้นหนีภัยออกนอกแคว้น ไปมีชีวิตตกระกำลำบากนอกเมือง โดยมีเจี้ยจื่อทุยติดตามไปดูแลรับใช้
      
       เจี้ยจื่อทุยมีจิตใจเมตตาถึงขนาดเชือดเนื้อที่ขาของตนเป็นอาหารให้องค์ชายเสวยเพื่อประทังชีวิต ภายหลังเมื่อองค์ชายฉงเอ่อเสด็จกลับเข้าแคว้นและได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้น นาม จิ้นเหวินกง ก็ต้องการตอบแทนบุญคุณเจี้ยจื่อทุย โดยจัดหาบ้านให้เขาและมารดาให้เข้ามาอยู่อย่างสุขสบายในเมือง แต่ทว่าเจี้ยจื่อทุยปฏิเสธ
บรรยากาศวันเช็งเม้งในไต้หวัน
       จิ้นเหวินกงได้คิดแผนเผาภูเขา โดยหวังว่าเจี้ยจื่อทุยจะพามารดาออกมาจากบ้าน แต่ผลสุดท้ายกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด สองแม่ลูกเจี้ยต้องเสียชีวิตในกองเพลิง   ดังนั้น เพื่อเป็นการรำลึกถึงเจี้ยจื่อทุย จิ้นเหวินกงจึงมีคำสั่งให้วันนี้ของทุกปี ห้ามไม่ให้มีการก่อไฟ และให้รับประทานแต่อาหารสดๆและเย็นๆ จนกลายเป็นที่มาของเทศกาลวันกินอาหารเย็น หรือ เทศกาลหันสือเจี๋ย (寒食节) ซึ่งเป็นวันสุกดิบก่อนวันเช็งเม้ง 1 วัน
       

       เนื่องจากคนโบราณนิยมถือปฏิบัติกิจกรรมตามประเพณีวันหันสือเจี๋ยต่อเนื่องไปจนถึงวันเช็งเม้ง  นานวันเข้าเทศกาลทั้งสองก็รวมเป็นวันเช็งเม้งวันเดียว  การไหว้เจี้ยจื่อทุยจึงค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นการไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษแทน
      
       ประเพณีปฏิบัติในวันเช็งเม้ง
       
ประเพณีปฏิบัติของวันเช็งเม้งที่สำคัญคือ การเดินทางไปทำความสะอาดและซ่อมแซมสุสานของบรรพบุรุษ และตั้งเครื่องบูชาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของท่าน ซึ่งยังคงถือปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน รายละเอียดของพิธีการก็ถูกลดทอนลงไปจากเดิมตามความเปลี่ยนแปลงของสังคม
เครื่องเซ่นไหว้ในวันเช็งเม้งที่เมืองลั่วหยัง
       ในทุกวันนี้เราจะพบเห็นลูกหลานชาวจีนทั้งหลายไม่ว่าจะในท้องถิ่นใด เดินทางไปที่สุสานอากงอาม่าของพวกเขา เพื่อเก็บหญ้าล้างสุสาน ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของบรรพบุรุษ และไปวางเครื่องเซ่นไหว้ประกอบพิธี รวมทั้งประดับตกแต่งสุสานด้วยดอกไม้ กระดาษสี เช่นที่พบเห็นในเมืองไทย
      
       สำหรับชาวจีนรุ่นใหม่ที่นิยมเผาศพแทนการฝัง ก็จะไปไหว้บรรพบุรุษตามสถานที่ที่บรรจุอัฐิแทน ส่วนชาวจีนโพ้นทะเลที่สิงคโปร์นิยมไปไหว้ป้ายศพของบรรพบุรุษที่วัด ชาวจีนบางถิ่นก็ไหว้ที่บ้าน
      
       แม้ว่ารูปแบบการไหว้ของชาวจีนในถิ่นต่างๆจะแตกต่างกันไป แต่ความหมายที่แท้จริงของวันเช็งเม้งก็คงยังไม่หลีกหนีไปจากการรำลึกถึงปู่ย่าตาทวด ซึ่งความสำคัญนี้จะยิ่งทวีความหมายยิ่งขึ้น  หากว่าลูกหลานคนรุ่นหลังจะได้รับรู้ถึงประวัติชีวิตที่ผ่านมาของบรรพบุรุษของตน  และตระหนักถึงความยากลำบากของพวกท่าน ก่อนที่ตนจะได้รับความสุขสบายในวันนี้ .
     
       ที่มา 
http://mgr.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9480000045336

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น